วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"เครปข้ามวัน" โชคชัยสี่


"เครปข้ามวัน" ที่ผมเรียกอย่างนี้ ก็เพราะวันที่ผมได้ไปลองชิมนั้น
ผมไปตั้งแต่ 3ทุ่มครึ่ง เพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าร้านนี้เปิด
3ทุ่ม พอไปถึงก็เห็นมีรออยู่ 3-4 คิว แต่เมื่อไปลงชื่อที่สมุดคิว
ของป้าเจ้าของร้าน...เท่านั้นแหละ ถึงกับต้องผงะ
"คิวที่ 40 เลยคร๊าบบบบโผม" (o.O " )
คนข้างๆเขาเลยบอกว่าป้าแกจะเอาสมุดคิวมาวางไว้หน้าร้าน
ตั้งแต่ช่วงกลางวัน แล้วให้ลูกค้ามาเขียนจองล่วงหน้า
พอถึงคิวถ้ายังไม่มาก็จะให้คนที่นั่งรอก่อน แต่เมื่อคนที่จองไว้
ในคิวก่อนหน้าคนที่รออยู่มาถึง เขาก็จะได้สิทธิ์ต่อจาก
คิวที่กำลังทำอยู่บนเตาทันที ก็จะเกิดแบบนี้ซ้ำไปมา
จนกระทั่งตีสาม จึงเป็นเวลาที่ป้าแกจะตัดคิว
คือจะทำให้เฉพาะคนที่อยู่รอเท่านั้น
จากที่บอกไปว่าผมมาถึงตอน 3ทุ่มครึ่ง
ในที่สุดก็ถึงเวลาคิวของผมครับ นั่นคือเวลาเที่ยงคืนครึ่ง
หรือ 00.30 น. เห็นไหมครับ...เป็นวันใหม่ซะแล้ว
ในจำนวน 40 คิวก็ใช่ว่าจะมากันครบทุกคนนะครับ
แต่ที่เจ็บปวดก็คือ หลายๆคนที่มามักจะสั่งเป็นจำนวนมาก
อย่างกับจะเก็บไว้กินถึงปีหน้า บางคนสั่งเป็น 10 อัน
โดยเขาบอกกล่าวว่า
"แช่ตู้เย็นไว้...เอามาอุ่นไมโครเวฟยังอร่อยเลย" (-.- " )
พอถึงคิวน้องนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง
เธอก็เล่าประสบการณ์อันน่าภูมิใจให้ผมฟัง
"หนูกินมาตั้งแต่เรียน ม.ต้น แล้วค่ะพี่
เนี่ยหนูก็ให้เพื่อนที่บ้านอยู่ใกล้ๆนี้มาจองคิวให้ตั้งแต่กลางวัน"
จะกินเครปร้านนี้ทีต้องทำงานเป็นทีมครับ


แต่วันนั้นผมก็สั่งแค่เพียง 2 ชิ้น...พอครับ สงสารคนอื่นที่รอ
เพราะป้าแกกว่าจะทำเสร็จแต่ละชิ้น ใช้เวลาเป็น 10 นาที
(จากที่ลองจับเวลา) ป้าจะเดินเข้าออกร้านเพื่อหยิบของ
เติมเครื่องอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วเหนื่อยแทน
เพราะไม่เห็นป้าแกได้นั่งเลย
เอ้า...พูดถึง 2 ชิ้นที่สั่ง ก็เป็นคาว "หมูหยองพริกเผา"
และหวาน "กล้วยหอมราดซอสช็อคโกแลต"
ขอบอกว่าหอมครับ และเครื่องเยอะคุ้มค่ากับราคา
ป้าเขาพิถีพิถันชนิดชิ้นต่อชิ้น อนูต่ออนู ค่อยๆปาด
ค่อยๆวาง ถ้ามีเวลาอีกหน่อยคงเกิดงานศิลปะขึ้นบนแผ่นเครป
ไม่ใช่แค่รูปกาย...แต่รสชาดก็อร่อยสมคำล่ำลือ


เครปญี่ปุ่น เป็นขนมที่ วิวัฒนาการมาจากขนมฝรั่งเศส
นิยมทานกันมากในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่น และคนทุกวัย
มีร้านเล็กๆขายเครปแทบทุกที่ตามแหล่งช็อปปิ้ง
จนกระทั่งแผร่หลายมาถึงประเทศไทย แต่ผมก็ไม่รู้หรอก
ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร แต่เท่าที่จำได้ ผมได้เจอเจ้าขนมนี้
ครั้งแรกก็ตอนที่ได้มาเที่ยวเล่นห้างสรรพสินค้า
ในกรุงเทพมหานครนี้ เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้วเห็นจะได้
ด้วยความหลากหลายของวัตถุดิบที่นำมาเป็นไส้ของขนม
ซึ่งให้เราเลือก และทำให้กันแบบสดๆร้อนๆ
เมื่อกลิ่นหอมจากแป้งบนเตาร้อนๆ บวกกับเนย
ที่ทาลงบนแป้งที่เริ่มสุก โชยมากระทบประสาทรับกลิ่น
ของเราๆ เท่านั้นแหละ...คุณเอ๋ย
แม้เดินผ่านยังต้องเหลียวหลัง และในยามเด็กแม้แม่ไม่ยอม
ก็จะดิ้นเอาให้ได้
ถ้าจะดูความนิยมของเครปญี่ปุ่นในประเทศเรานี้
ตัวอย่างร้านนี้คงจะเป็นคำตอบนึงได้อย่างแน่นอน
ถึงขนาดลูกค้าบางคนมาจากตลิ่งชัน
รอคิวตั้งแต่หกโมงเย็น ไปตัดผม ไปเดินเล่น
ไปกินข้าว ทำนู้นนี่นั่น จนได้กินตอนเที่ยงคืนก็ยังมี
ก็ต้องยอมรับครับว่าเครปร้านนี้เขาสุดยอดจริงๆ
สำหรับผมมันอร่อยมากครับ...ผมได้ลิ้มลองมันแล้วแหละ
แล้วคุณล่ะ!!!

การเดินทาง : จากปากทางโชคชัย4(ลาดพร้าว53)
นับซอยมาเลยครับ ร้านจะอยู่ขวามือ เลยแยกโชคชัย4 ซ.54
มานิดเดียว หน้าร้านพรพิมล อยู่เยื้องกับ 7-11

รอเลย...ครั้งเดียวซึ้ง

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"บ้านโปรดปราน" ลาดพร้าวซอย1


ผมหิวข้าว คุณแฟนอยากช็อปปิ้ง
อารมณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมกันในเย็นวันนี้
จากที่คุณแฟนอยากได้ต่างหูซักคู่
เพื่อใส่ไปงานแต่งานของเพื่อนเธอ
ที่ใกล้เข้ามา จึงตกลงสถานที่เป็น
"ยูเนี่ยนมอลล์" ส่วนจะกินอะไรนั้น
ค่อยว่ากัน
พอถึงปากซอยลาดพร้าว1 ระหว่างนำรถเข้าจอด
ก็หันไปเจอร้านอาหารน่าสนใจ ดูมีอะไรให้
เลือกทานเยอะดี จอดรถเสร็จไม่รอช้า
ตัวเองจะซื้ออะไรก็ได้ แต่ตอนนี้ขอเค้ากินก่อนนะ

พอได้โต๊ะนั่ง เมนูก็ตามมา กวาดตาดูจนทั่ว
ถึงได้รู้ว่าร้านนี้ชื่อ "บ้านโปรดปราน" ^^
แล้วก็ไล่สั่งเลย 1.ต้มเลือดหมู 2.ข้าวขาหมู
3.ข้าวซี่โครงหมูอบ และน้ำชาที่ทางร้านมีไว้บริการ
พอสั่งแล้วในใจก็พลันนึกขึ้นว่า "อย่างละ 35 บาท
แพงไปนิดรึป่าวหว่า?...เอาวะแสดงว่าต้องมีดี)

ไม่นานนักอาหารก็มาครบ อย่างแรก "ต้มเลือดหมู"
ต้องบอกได้ว่า ซู๊ดดดดยอด เลือดหมูฉ่ำๆ
อมหวานนิดๆ หมูเด้งกรุบๆ หมูชิ้นนุ่มนิ่มไม่แห้งแข็ง
เครื่องในไร้กลิ่นคาว หมูกรอบอร่อย เสียดายมีให้แค่
ชิ้นเดียว กลมกล่อมด้วยน้ำซุปกระดูกหมู
หอมกลิ่นเครื่องเทศ และใบตำลึง รวมถึงกระเทียมดอง
แต่มีสัมผัสหนึ่งที่แตกต่างจากร้านอื่น คือรู้สึกสดชื่น
ซึ่งผมคิดเอาเองว่าคือขิง รึป่าว?

มาถึงอย่างที่สอง "ข้าวขาหมู" แยกกันครับ ข้าวจาน
ขาหมูอีกชาม...ชามเต็มๆครับ คุ้มสุดๆแล้ว
หมูเปื่อยมาก ทั้งเอ็น และหนังมากันครบ
น้ำต้มขาหมูข้นเหนียวนิดๆ ไม่ใสเหลวจนเกินไป
รสชาดกลมกล่อมไม่เค็มมาก กินพร้อมน้ำจิ้ม
เปรี้ยว เข้ากั๊นเข้ากัน อ่อ...แถมยังมีกระเทียม
ปอกเปลือกไว้ให้พร้อมสรรพ
ตามมาด้วย "ข้าวราดซี่โครงหมูอบ"
อันนี้เปื่อยกำลังดี ไม่ถึงขนาดขาหมู รสชาดหวานนิดๆ
และมีกลิ่นเครื่องเทศอ่อนๆ อร่อยจริงๆ

ตบท้ายด้วยขนมหวานซักนิดด้วย "ขนมถ้วย"
พึ่งทำเสร็จร้อนๆเลยครับ กะทิอุ่นๆ ยังไม่เซ็ทตัวดี
ชั้นล่างเป็นสีขาวไม่หวานมาก กินรวมกันแล้วสดชื่นดีจัง
แต่อย่าลืมว่าก่อนเปลี่ยนจากอาหารคาว เป็นขนม
ควรล้างปากด้วยน้ำชา หรือน้ำเปล่าก่อนก็จะดีครับ


ว่าด้วยเรื่องประเภทอาหาร ร้าน "บ้านโปรดปราน" นี้ก็
ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดขาย
ของร้านนี้ น่าจะมีซัก 3 ข้อ
1.ความคุ้มค่า ทั้งด้านคุณภาพ ราคา รสชาด
และปริมาณ (ถึงแม้จะออกไปทางข้าวน้อย...กับเยอะก็ตาม)
2.การรวมอาหารหลายประเภทไว้ในที่เดียวกัน
อันนี้พบเจอได้ทั่วไป แต่ก็มีบางแห่งที่ไม่ยอมส่งข้ามร้าน
ทำให้ผม และน่าจะลูกค้าอีกหลายคนเคืองได้เหมือนกัน
อยู่ด้วยกันน่าจะช่วยๆกันขายนะ อย่างน้อยลูกค้าก็จะได้
ไม่คิดกันไปว่า "ไปกินที่อื่นเหอะ...อยากกินคนละอย่าง
แต่เขาไม่ส่งว่ะ" (ยังแอบติดใจนะเนี่ย ที่ผมพลาด
ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ กับปาท่องโก๋ร้านนี้อยู่)
3.การตกแต่งร้านสไตล์เฉพาะตัว อย่างร้านนี้เขาได้นำ
ของเก่าวินเทจๆ เช่นพวกนาฬิกาลูกตุ้มเก๋ๆ มาประดับ
ไว้เต็มร้านเลยครับ แต่ก็แอบความทันสมัย
ด้วยที่ผมแอบเหลือบไปเห็น CCTV หรือกล้องวงจรปิด
นับคร่าวๆ ถึง 6 ตัวเชียวแหละ...


คราวหน้าเจอกัน..."ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่"

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"มิคกี้เมาส์ ช็อคโกแลตเค้ก" By Victory Bakery สาขางามวงศ์วาน


จากที่เมื่อวันก่อนได้ไปทำธุระแถวนั้น จึงตั้งใจแวะไปซื้อขนมที่ร้าน Victory
ตรงข้าม The Mall งามวงศ์วาน ซักหน่อย
ขนมก็เลือกไปแล้ว 2-3 อย่าง ในขณะที่ต่อคิวจ่ายเงินหน้าแคชเชียร์ก็เหลือบไปเห็น
หนูมิคกี้เมาส์อยู่ในตู้แช่ชั้นบนสุด ด้วยค่าตัวเพียง 20 บาท จึงไม่คิดมาก
"เอ่อ...ขออันนี้เพิ่มอีกชิ้นนึงครับ" จากที่สาขานี้ไม่ค่อยทำให้ผิดหวัง
จึงอยากรู้ว่า 20 บาทเนี่ย เขาจะทำออกมาให้เราปลื้มได้เพียงใด


เมื่อถึงเวลาเปิดตัว ก็หลังจากที่ขนมอย่างอื่นหมดไปตั้งแต่คืนนั้นแล้ว
เหลือเพียงหนูมิคกี้ฉายเดียวอยู่ เริ่มดูกันจากภายนอก
มีการใช้เทคนิคทำให้เกิดหน้าหนูขึ้นบนยอดของเค้ก
ส่วนหูก็ใช้แอลมอนด์สไลด์บางปักลงไป โรยเกร็ดช็อคโกแลตเม็ดๆ
ไว้รอบฐานแล้วห่อด้วยฟลอยด์

จากด้านบนจะเป็นท็อปปิ้งช็อคโกแลต
ตามด้วยครีมเค้ก แล้วจึงเป็นเนื้อเค้กช็อคโกแลตนุ่มกำลังดี
และมีช็อคโกแลตมูสผสมช็อคโกแลตซอสอยู่ตรงกลาง
ท็อปปิ้งเป็นลักษณะแข็ง แว๊บแรกอาจจะทำให้นึกไปถึงท็อปปิ้งถูกๆ
ที่หวานๆ แต่มีกลิ่นช็อคโกแลตเพียงแผ่วเบา
แต่เมื่อได้ชิมจึงรู้ว่า...ไม่ใช่เลย
สำหรับชิ้นนี้ท็อปปิ้งมีความหวานขม กลมกล่อม ตามสไตล์
ช็อคโกแลต ครีมเค้กก็ไม่หวานจนเกินไป
มูสช็อคโกแลตหวานนิดๆ กับช็อคโกแลตซอสขมหน่อยๆ
เรียกได้ว่าอร่อยลงตัว


ถ้าพูดถึงแบรนด์ Victory Bakery ซึ่งมีอยู่หลายสาขา
หลายคนที่เป็นขาประจำ ก็จะต้องนึกถึงความอร่อยหอมนุ่ม
ของเอแคลร์ ขนมขึ้นชื่อของแบรนด์นี้
แต่ผมก็อยากเสนอบางชิ้นบางอัน ที่หลายคนไม่สนใจ หรือมองข้าม
ด้วยว่าหันไปหาของขึ้นชื่อซะก่อนนั่นเอง
แม้สาขาที่มีจะมาก แต่ว่าทุกสาขานั้นก็เป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น
จึงอยากให้เห็นภาพของธุรกิจ ซึ่งไม่เว้นแต่ย่านเดียวกัน
ประเภทเดียวกัน หรือแม้แต่เป็นพี่น้องกัน ก็ยังมีการแข่งขัน
พัฒนาของในร้าน ในจำนวนสาขาที่ผมเคยไปมา
สาขานี้เรียกได้ว่าขายดี และยังมีขนมหลายชนิดที่สุด...

ขนมอร่อย...กินบ่อยๆ แต่ต้องเปลี่ยนชนิด

เว็บไซต์จากบางสาขา http://www.victory-bakery.com/

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ร้านป้า" นมสด ขนมปังปิ้ง


"ร้านป้า" ลาดพร้าว122 ซ.มหาดไทย

ร้านนมสด ขนมปังปิ้ง ราคาย่อมเยา
ผมได้พบเจอ "ร้านป้า" นี้ก็น่าจะประมาณ 2-3 ปีเห็นจะได้
การเดินทาง...ถ้ามาจากทางลาดพร้าวก็เลี้ยวเข้า
ซ.ลาดพร้าว122 ร้านอยู่ช่วงกลางซอย ซ้ายมือ
แต่ถ้ามาจากทางรามคำแหงก็เข้า ซ.รามคำแหง65
(ปากซอยเป็น FBT) มาทางนี้ร้านก็อยู่ขวามือ
เป็นตึกแถวห้องเดียว ไม่มีป้ายที่ชัดเจน ติดกับร้านโรตี
สังเกตได้จากลูกค้าที่นั่งกันหน้าร้านจะมีตลอด
ร้านนี้เวลาเปิดปิดผมไม่แน่ใจ แต่ปกติที่ไปก็ช่วงประมาณเย็นๆ
จนถึงดึกๆ...




















เมนูที่สั่งในวันนั้นคือ "นมปั่นโอริโอ้ทรงเครื่อง"
นมปั่นที่ผสมโอริโอ้ เสิร์ฟในแก้วทรงสูง
และเติมท็อปปิ้งด้วยเยลลี่และปีโป้
อย่างเยอะ ในค่าตัวเพียง 25 บาท
และอีกเมนูคือ "ขนมปังปิ้งเนยนมน้ำตาล"
ขนมปังร้านนี้จะใช้เป็นขนมปังเบอร์เกอร์ ทาเนยตรงกลาง
ตบให้แบนปิ้งพอเหลืองกรอบ จานนึง 2 ชิ้น หั่นพอดีคำ
จัดใส่จานราดนมแล้วโรยน้ำตาล ค่าตัว 15 บาท


ด้วยราคาที่ย่อมเยา...และวัตถุดิบที่ให้อย่างเต็มที่ขนาดนี้
เรียกได้ว่าคุ้มค่า คุ้มราคา แล้วครับ
แถมยังมีน้ำใบเตยหอมๆ ร้อนๆ ไว้ให้ดื่มเพิ่มความอบอุ่น
และสดชื่น อย่างไม่คิดสตางค์
คงต้องบอกให้ยอมรับ หรืออย่าวาดฝันว่าจะได้คุณภาพ
เทียบเท่าร้านใหญ่ ร้านดัง ราคาสูง
เพราะกลุ่มลูกค้าตรงนี้นั้นส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา
ราคาจึงสำคัญ ไม่ควรตั้งให้สูงจนเกินไป
มีร้านอย่างนี้ให้พวกเขาได้ดื่มได้กินกันอย่างพอเพียง
ก็ต้องขอบคุณที่ยังมี "ร้านป้า" นี้ให้ได้พึ่งพิง
...

ร้านนี้ดี...พึ่งพิงยามกรอบ

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"ภาเค่า" 29 ก.ค. 53


เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวาน เวลาประมาณ 5 โมงเย็น แบบว่า...หิวครับ
อารมณ์ประมาณว่าอยากได้ร้านบรรยากาศแอร์เย็นๆ แต่ไม่ใช่ในห้าง
จากไปรษณีย์ลาดพร้าว ดูมาตามทางเรื่อยๆ จนมาติดไฟแดง
ที่แยกรัชดาตัดลาดพร้าว มองไปซ้ายมือ ติดกับโครงการ The Room
"เอ๊ะ นี่มันร้านข้าวนี่นา พึ่งจะเคยเห็น ลองซะหน่อยละกัน"
เลยหน้าร้านมาอีกนิด ซ.ลาดพร้าว30 ก็มีที่จอดรถ พอเดินมาถึงในร้าน
ก็งุนงงเล็กน้อย หน้าร้านมีเคาว์เตอร์แบบจัดเรียงเหมือนร้านส้มตำทั่วไป
แต่ข้างใน เอ๊ะ! มันไม่ใช่ เป็นร้านอาหารติดแอร์ การตกแต่งสไตล์โรมัน
+ จีนโบราณ โต๊ะแต่ละชุดก็ไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าขัดตาเลยทีเดียว

เริ่มเรื่องอาหารกันเถอะ...ทางร้านก็มีทั้งอาหารตามสั่ง จิ้มจุ่ม
และบรรดาอาหารอีสานครบเซ็ท แต่ที่เด่นเลยเห็นจะเป็น "ส้มตำ"
ซึ่งมีถึง 23 เมนูตำให้คุณเลือกชิม ไม่รอช้ามาเลยคับเมนูวันนี้

อย่างแรกที่มาคือ "ต้มแซบกระดูกหมูอ่อน" พอยกมาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ
เป็นอันต้องร้องเห้ย! ด้วยความตกใจ เพราะด้วยน้ำต้มแซบที่ใสปิ๊ง
อย่างกับแกงจืด...แต่พอตักชิมเท่านั้นแหละ โอ้ว! แม่เจ้า รสแซบถึงใจ
จนต้องตาโต แล้วเผลอพูดออกมาว่าอร่อย ด้วยรสชาติที่เปรี้ยวนำ
เค็มกำลังดี และไม่เผ็ดจนเกินไป เรียกได้ว่า "แซบนัว" จริงๆ
กระดูกหมูอ่อนก็เปื่อยได้ที่ ไม่เหนียวหรือแข็งเหมือนขี้เหนียวแก๊ซ
แถมยังมีการนำเห็ดโคนญี่ปุ่นมาเพิ่ม ดูแล้วได้ฟิลต้มแซบไฮโซอีกด้วย


เมนูต่อมาตามด้วย "ตำแตงไข่เค็ม" ไข่เค็มที่ปอกแล้วผ่าออกเป็นกลีบดอกไม้
สี่แฉก วางลงกลางจานบนตำแตง แตงสับชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ไม่ละเอียด
จนเกินไป รสชาดเปรี้ยวแซบตามสไตล์อาหารอีสาน กินพร้อมกับไข่เค็ม
ได้รสชาดที่กลมกล่อมกำลังดี ทานกับเส้นขนมจีนก็เข้าที...เอิ่งเอย

มื้อนี้ 1. ต้มแซบ 2. ตำแตงไข่เค็ม 3. ข้าวเนียว 4. เส้นขนมจีน
5. น้ำเปล่าขวด+น้ำแข็ง2แก้ว รวม 152 บาท

หลังจากจ่ายค่าเสียหายแล้ว เดินออกมาหน้าร้าน เลยแวะคุยกับแม่ครัวมือตำ
ซะหน่อย เพราะเห็นหญิงหน้าตาดีที่ทำงานอยู่ในร้าน แต่พูดไม่ค่อยชัด
โหงวเฮ้งดีใช้ได้ เห็นแล้วชวนให้คิดว่าคงเป็นเจ้าของร้านชาวต่างชาติ
น้าแม่ครัวมือตำเลยให้ความกระจ่างว่า "ผูนั่นแร่งง่านตางด้าวเด้อ" o.O"
เจ้าของร้านจริงๆคือลุงที่ย่างไก่อยู่หน้าร้านนั่นเอง
สุดท้ายก่อนจากลาน้าแกเลยบอกว่าอาจจะอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน
"ตอนนี้กำลังฝึกเด็กให้มาตำแทนอยู่ เพราะอยู่ที่นี่เขาให้แค่สองหมื่นห้า
พร้อมที่พัก...ที่พอฝนตกน้ำก็รั่ว แต่มีอีกร้านเขาจะซื้อตัวไปให้สามหมื่น
พร้อมที่พัก...แต่อันนี้น้ำไม่รั่ว แถมยังเป็นอาพาร์ทเมนท์อย่างดี
แต่ที่แย่คือพอสอนได้แค่ 2-3 วัน ก็หนีกันไปหมด เพราะ 23 เมนูตำ"
...

นี่แหละคือ..."แม่ครัวมือตำ มือวางติดอันดับ"

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาสาฬหบูชา ณ "วัดนาป่าพง" 26 ก.ค. 53


หลังจากที่เปิดบล็อคมาได้หลายวัน...แต่ยังไม่มีเวลาได้ลงบทความ
วันนี้วันดี วันพระใหญ่ หรือวันอาสาฬหบูชา ก็ถือเป็นฤกษ์ดี...ขอลงบทความบทแรก

ไหนๆจะดีแล้ว ก็ต้องดีให้สุดๆ วันนี้ก็ได้ไปทำบุญที่ "วัดนาป่าพง"
ทำทั้งทีก็ทำให้เต็มที่ เอ้า! ลงมือทำอาหารไปถวายกันเองซะเลย
อันตัวอาหารนั้นก็ได้ยกหน้าที่ให้เพื่อนโย รับหน้าที่ต้มซุป และทำข้าวผัดไป
ส่วนตัวผมนั้น...ขอต้มชาดำของถนัด

"วัดนาป่าพง" นี้ เป็นวัดป่า พระสงฆ์ในวัดนี้จะฉันอาหารมื้อเดียว
ท่านที่ต้องการไปเพื่อถวายอาหารควรไปก่อนเวลา 8:00น.
ในวันนี้นั้นผมไปถึงเวลาประมาณ 7:45น. ต้องจอดรถริมถนนก่อนถึงปากทางเข้าวัด
มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมาช่วยอำนวยความสะดวกโบกรถอย่างขยันขันแข็ง
เมื่อเห็นจากสภาพจำนวนประชากรรถยนต์หนาแน่นแล้วนั้น
ไม่ต้องห่วงเลยครับ...ญาติโยมยิ่งหนาแน่นกว่า เพราะแต่ละคันคงไม่ได้มาเพียงคนเดียว




พอไปถึงถวายอาหารแล้ว พระสงฆ์และนาคก็จะนำมาจัดเรียงรวมกันบนโต๊ะยาว
ที่จัดไว้เป็นรูปตัวยู (U) ยาวนับยี่สิบเมตร




จากนั้นนั่งสมาธิไป พร้อมๆกับรับฟังพระอาจารย์คึกฤทธิ์เทศน์ (คนอื่นนะ...ตัวผมเก็บภาพอยู่)
คำเทศน์นั้นไม่ใช่คำแต่ง ไม่ใช่แนวคิดจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์ หรือแม้แต่ไม่ใช่จากพระอาจารย์ไหนๆ
หากแต่เป็นพุทธวจน หรือคำสอนจากพระพุทธองค์แท้ๆ ซึ่งพระอาจารย์ค้นคว้า และรวบรวมมา
เพื่อถ่ายทอดสู่พุทธศาสนิกชน อันนี้รายละเอียดเป็นอย่างไรคงต้องลองหามาศึกษากันเอง
มิฉนั้นแล้ว...มานจะผิดจากเนื้อหาของบล็อคที่ได้ตั้งใจไว้

พอพระท่านเดินตักอาหารใส่บาตรเพื่อไปฉันเรียบร้อย บรรดาญาติโยมก็เรียงแถวกัน
เพื่อมาตักอาหารไปทานกันตามชอบ แต่ช่วงนี้ผมไม่ได้เก็บภาพมาด้วย เพราะ...ผมหิวครับ
อาหารที่ทุกท่านได้นำมาในแต่ละวันนี้ยังได้เผื่อแผ่ไปถึงชาวบ้าน ที่มาพึ่งบุญวัด ได้อิ่มท้อง
ตลอดจนถึงนำไปฝากลูกหลานที่บ้าน
เพราะอาหารเยอะมาก ลำพังคนที่มาทำบุญเองนั้นทานยังไงก็คงไม่หมด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าคิด...คือคำพูดจากชาวบ้าน ที่ได้ยินมาถึงหูของผมเอง
"ตั๊กไปโลด คนรวยเขาบ่เอาเมื่อดอก"
...

เอาเป็นว่า...ตอนท้ายนี้ก็ขอให้เนื้อหาให้สอดคล้องกับบล็อคนี้ซะหน่อย
นั่นคือ เมนูต่างๆที่ทำไปถวายในวันนี้



1. ข้าวผัดธัญพืชของเพื่อนโย ก็เป็นข้าวผสมธัญพืชที่มีวางขายทั่วไป ผัดใส่ไข่ และปรุงรส




2. ต้มซุป เป็นซุปใส่มันฝรั่ง แครอท หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักชี และน่องไก่บน
โดย ต้มน่องไก่บนทำเป็นน้ำต้มกระดูก ให้เนื้อไก่เปื่อย ของเพื่อนโยเนี่ยเรียกได้ว่าแทบจะละลายในปาก
จากนั้นใส่มันฝรั่ง และแครอท ที่สุกหรือนิ่มยากลงไป พอนิ่มได้ที่แล้วตามด้วยหอมใหญ่,มะเขือเทศ
จากนั้นปรุงรส ตามชอบ แต่ระวังจะไปกลบรสหวานอร่อยของตัววัตถุดิบนะครับ
ต้มอีกนิดให้มะเขือเทศ และหอมใหญ่เปื่อยได้ที่ จากนั้นก็ตักขึ้น โรยหน้าด้วยผักชี เป็นอันเรียบร้อย



3. ชาดำ อันนี้ผมต้มโดยทำรสชาดเป็นกลาง คือดื่มแบบไม่เย็นก็ไม่หวานจนเกินไป
ถ้าใส่น้ำเข็งก็จะได้รสชุ่มชื่นดื่มง่าย
วัตถุดิบที่ใช้ก็คือ ชาตรามือ น้ำตาลทราย และน้ำสะอาด
เริ่มต้นก็ต้มน้ำประมาณ 2 ลิตรให้เดือด และเตรียมชา 400cc ลงต้มที่ไฟอ่อน
เป็นเวลา 10 นาที (ห้ามขาด เพราะจะทำให้รสชาดและกลิ่นหอมของชาไม่เต็มที่
ห้ามเกิน เพราะจะทำให้ชามีรสฝาดได้)
จากนั้นกรองเอาใบชาออก และเติมน้ำผสมลงไปให้ได้ 2.4 ลิตร แล้วต้มต่อให้เดือด
นำน้ำตาล 400cc ใส่ลงไป คนให้ละลาย แล้วพอเดือดก็ปิดไฟ เป็นอันเสร็จ

อิ่มบุญ...และอิ่มท้อง